ปัจจัตตัง อ่านว่า ปัด – จัด – ตัง มาจากภาษาบาลี 2 คำ ได้แก่ ปัจฺจ (เฉพาะ) และ อตฺตํ (ตน) ซึ่งอยู่ในบทพระธรรมคุณท่อนสุดท้าย “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ” และ ปัจจัตตัง ภาษาอังกฤษ มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า individual
ปัจจัตตังหมายความว่าอย่างไร
เนื่องจากพระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติด้วยตนเอง เพื่อจะได้รู้ด้วยตนเองจากการปฏิบัตินั้น เป็นความรู้ที่เกิดจากการลงมือทำ รู้ได้เฉพาะตน แบ่งปันกันไม่ได้ ดังนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสว่า “ความลังเลสงสัยทั้งปวง ความเคลือบแคลงใจทั้งหลาย และ ความไม่ถูกต้องที่มี มันจะเหือดแห้งหายไป คลายมลายสิ้น เมื่อเราได้ปฏิบัติจนรู้เห็นเอง” เรียกว่า การรู้ได้เฉพาะตน อันเป็น ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ โดยบริบทนี้ คำว่า ปัจจัตตัง คือ ความสุขที่เกิดจากการบรรลุธรรม นั่นเอง
เฉกเช่น เมื่อเจริญสมาธิภาวนา เราจะรับรู้ถึงความรู้สึกต่าง ๆ ในขณะนั้นได้ เช่น อาการเมื่อยตรงไหนอย่างไร ลมหายใจเป็นอย่างไร หายใจเข้า-ออกสั้นหรือยาว ขณะที่นั่งง่วงนอนหรือมีสมาธิ และผลจากการที่นั่งเกิดอะไรขึ้นกับตนบ้าง หรือแม้แต่การสวดมนต์ ขณะที่สวดรู้สึกอย่างไร หรือเมื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์แล้วสุขใจอย่างไร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่รับรู้ได้จากการลงมือทำด้วยตนเองทั้งสิ้น แชร์ความรู้สึกให้กันไม่ได้ เพราะการรับรู้ของบุคคลไม่เท่ากัน และการใช้หลักปัญญาพิจารณา หรือโยนิโสมนสิการ ของแต่ละบุคคลก็ต่างกัน แม้จะอธิบายไปอย่างไร ก็ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ หากไม่ปฏิบัติด้วยตนเอง
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เชื่อแห่งผลของการปฏิบัติ ไม่ทรงให้เชื่อเพียงแค่คำกล่าวอ้างในสิ่งใดอย่างงมงาย โดยไม่ผ่านการพิสูจน์ด้วยตนเอง ดังคำของพุทธองค์ที่ว่า “เอหิปัสสิโก” หมายความว่า จงมาพิสูจน์เถิด แม้แต่คำสอนของพระพุทธองค์ ก็ให้พิสูจน์ด้วยตนเองก่อนที่จะปักใจศรัทธา หากเปรียบในทางโลก หมายถึง ให้เราทำตนเป็นดั่งนักวิทยาศาสตร์ คือ ทดลอง ทดสอบ ค้นคว้า เพื่อหาเหตุ แล้วเชื่อในผล
หลักของพุทธศาสนาที่แท้จริง คือ ก่อนจะเชื่อหรือศรัทธาสิ่งใด ควรมีการพิสูจน์และปฏิบัติด้วยตนเองก่อน เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เชื่อในพระองค์ แต่ทรงให้ลองปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์สอน แล้วพิจารณาด้วยปัญญา และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เราเรียกว่า “ปัจจัตตัง”