AHA BHA ช่วยอะไรต่อผิว และต่างกันอย่างไร

T

ค่านิยม “ผิวขาว” ของคนไทย จนมีวลีที่ว่า “ยิ่งขาว ยิ่งสวย” เป็นเหตุให้ผู้ประกอบการ รวมไปถึงผู้ผลิตที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์การดูแลผิว และความสวยงามต่างๆ หลายแบรนด์ด้วยกัน มีการเติมส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความขาว ในปริมาณมากบ้าง น้อยบ้าง ภายใต้มาตรฐานที่ อย. กำหนด แต่ก็มีผู้ผลิตหลายแบรนด์เลยทีเดียว ที่แต่งเติมเพิ่มสารสังเคราะห์ หรือสารเคมี ที่ไม่ใช่ สาร AHA ธรรมชาติ

กรด AHA คืออะไร

กรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acids) หรือ สาร AHA คือ สารสกัดจากธรรมชาติที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น กรดซีตริก (Citric Acid) จากผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ ,กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) จากอ้อย , กรดทาร์ทาริก (Tartaric Acid) จากมะขาม องุ่น ไวน์ , กรดแลคติก (Lactic Acid) จากนมเปรี้ยว , กรดมาลิก (Malic Acid) จากแอปเปิ้ล เป็นต้น

สารสกัด AHA ถูกนำมาใช้ในด้านความงาม มายาวนานตั้งแต่อดีต และยังคงใช้กันอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน เพื่อบำรุงผิว ชะลอวัย ผิวแลดูอ่อนเยาว์ ซึ่งประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของ AHA ในแต่ละผลิตภัณฑ์ด้วย โดย “กรดแลคติก” และ “กรดไกลโคลิค” กรดทั้ง 2 ชนิดนี้ จะถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางมากที่สุด

หากย้อนไปในประวัติศาสตร์ พระนางคลีโอพัตรา ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามที่สุด ด้วยนิสัยรักสวยรักงาม พระนางจึงโปรดการอาบด้วยน้ำนม เพราะช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง จากกรดแล็กติกที่อยู่ในน้ำนมติก หรือพระราชินีในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่14 พระนางมารีอังตัวเนส ก็ทรงโปรดปรานการชำระร่างกายด้วยไวน์แดง เพื่อให้ผิวสวย (กรดทาร์ทาริก)

กรด AHA ทำงานอย่างไร

เมื่อกาลเวลาผ่านไป สุขภาพเซลล์ผิวย่อมมีการเสื่อม อีกทั้งแสงแดด เป็นอีกตัวการสำคัญ ที่ส่งผลต่อสภาพเซลล์ผิวหนัง AHA จะช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพและตายแล้ว ให้หลุดออกจากชั้นผิวหนัง โดยไม่ทำร้ายผิวหนัง และฟื้นฟูสภาพผิว เผยผิวใหม่ ที่นุ่มขึ้น รักษาสิว ฝ้า รอยด่างดำ ริ้วรอยต่างๆลดเลือนลง ปรับสีผิวให้เรียบเนียน ชะลริ้วรอย ไม่ให้แก่ก่อนวัย ซึ่งได้มีการศึกษา ทำการค้นคว้า และได้พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA วิตามินอี วิตามินซี และ วิตามินบี 3 ช่วยลดเลือนริ้วรอย ให้ผิวเรียบเนียนขึ้น หลังจากใช้ไปแล้วประมาณ 3 สัปดาห์ โดยไม่เกิดผลข้างเคึยงใดๆต่อผิว

AHA ปรับค่า pH ผิว ให้สมดุล

ผิวที่มีสุขภาพดี จะต้องมีค่าความเป็นกรด-ด่าง หรือค่า pH 4.5 – 5.5 อาจมีความเป็นกรดเล็กน้อย จึงจะเรียกว่าเป็นผิวสุขภาพดี ส่วนผิวที่ pH ไม่สมดุล จะมีแนวโน้มของสภาพผิวแห้ง และเป็นสิวได้ง่ายกว่า การใช้ เครื่องบำรุงผิว ที่มีส่วนผสมของกรดมาลิกจากแอปเปิ้ล ซึ่งมีคุณสมบัติรักษาความชุ่มชื้นได้ดี ช่วยปรับค่า pH ของผิวให้มีความสมดุล

AHA ป้องกันสิว และลดรอยสิวจางลง

เมื่อเซลล์ผิวที่ตายแล้ว รวมกับน้ำมันบนใบหน้า และสิ่งสกปรกต่างๆ จะเข้าไปอุดตันตามรูขุมขน ทำให้เกิดสิวหัวดำ และถ้าหากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย ก็จะกลายเป็นสิวอักเสบ การใช้ครีม AHA กรดผลไม้ธรรมชาติ จะช่วยกำจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขน ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และช่วยลดอาการอักเสบ กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่เรียบเนียนกว่า ช่วยกระชับรูขุมขน รอยสิวดูจางลง ช่วยดูแลผิวที่เป็นสิวง่าย

การใช้ AHA ที่ถูกต้อง 

ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA เข้มข้น ไม่ควรเกิน 10% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่อยู่ในกลุ่มเครื่องสำอาง แต่ถ้าความเข้มข้น AHA มากกว่า 10% ขึ้นไป จะถูกจัดว่าเป็น “ยา” จึงต้องใช้โดยแพทย์ หรือใช้ภายใต้การแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น 

AHA ใช้ทุกวันได้ไหม

ก่อนอื่นทำความเข้าใจก่อนว่า โดยปกติผิวหนังกำพร้า (Epidermis) ของเราจะมี 5 ชั้น ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องผิวจากสิ่งภายนอก และจะผลัดผิวหนังกำพร้าชั้นบนสุดออก (Stratum corneum) และดันชั้นผิวด้านล่างๆขึ้นมาแทน ภายใน 28-30 วัน แต่เมื่ออายุมากขึ้น รอบการผลัดผิวก็จะใช้ระยะเวลานานขึ้นไปด้วย ทำให้หนังกำพร้าที่ตายแล้ว ตกค้างอยู่บนใบหน้า เป็นสาเหตุทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำ แน่นอนว่า การใช้ครีมที่มีสาร AHA จะช่วยผลัดเซลล์ผิว แต่การใช้บ่อยเกินไป จะทำให้มีการเร่งผลัดเซลล์ผิวบ่อยเกินไป รบกวนต่อชั้นผิวหนัง ส่งผลต่อเกราะป้องกันแสงแดดธรรมชาติ อย่างผิวกำพร้ามีประสิทธิภาพลดลง ทำให้ผิวบาง และแพ้แสงแดดง่าย

บางคนอาจเข้าใจว่า ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดจะช่วยทดแทนได้ แต่ที่จริงแล้ว ครีมกันแดด ไม่ว่าจะมีค่า SPF สูงแค่ไหนก็ตาม ก็จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UV ได้ไม่เกิน 2 ชม แม้จะมีการรับประกันว่า ครีมกันแดดยี่ห้อนั้นๆ สามารถปกป้องรังสี UV ได้ถึง 10 ชม. 12 ชม. หรือ 20 ชม. ซึ่งเป็นค่าวัดจากการทดสอบในห้องแลป แต่เมื่อนำมาใช้จริง ทั้งเหงื่อ สภาพอากาศ และมลภาวะต่างๆ ประสิทธิภาพของกันแดดบนผิวของเรา ก็จะลดลงเรื่อยๆ จึงต้องคอยหมั่นทากันแดดทุกๆ 2 ชม. เห็นได้ชัดว่า ผลิตภัณฑ์กันแดด ไม่สามารถปกป้องผิวเราได้ดีไปกว่าหนังกำพร้า ดังนั้น การใช้ AHA ทุกวัน ความเป็นกรดจะไปส่งผลความบางของชั้นผิวหนัง จึงไม่ควรใช้ทุกวัน แต่อาจใช้วันเว้นวัน หรือ 2 ครั้ง / สัปดาห์ ก็เพียงพอแล้ว เพื่อเป็นการใช้ AHA กรดผลไม้หน้าใส โดยไม่ทำร้ายผิวเกินไป

การใช้ AHA ทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวบอบบาง หรือผิวแพ้ง่าย จึงควรใช้ครีมกันแดดเสมอ และถ้าหากมีอาการระคายเคือง คัน ผิวแห้ง ผิวลอก บวมแดง หรือ มีผื่นขึ้นบริเวณที่ใช้ผลิตภัณฑ์ AHA ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดจากผลข้างเคียง จะได้รีบทำการรักษาได้ทัน ก่อนจะเป็นอันตรายรุนแรงต่อผิวได้

BHA คืออะไร

Beta Hydroxy Acid หรือ BHA คือ สารสังเคราะห์จากธรรมชาติ อยู่ในกลุ่มกรดผลไม้ เช่นเดียวกับ AHA มีช่วยในเรื่องผลัดเซลล์ผิว และป้องกันการเกิดสิว ซึ่งบางคนอาจจะเคยได้ยิน หรือคุ้นหูอยู่บ้างกับสารในตระกูล BHA อย่าง กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ที่อยู่ในพริก ซึ่งนิยมนำไปทำยาหม่อง หรือที่มักจะเห็นกันบ่อยในชื่อ Glycolic , Lactic , Citric Acid

กรด BHA สามารถทนร้อน และเสื่อมสภาพได้ยากกว่า AHA มีการนำ BHA มาใช้ในวงการแพทย์นานแล้ว ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้เคราตินที่มีความแข็งกระด้าง กลับนุ่มขึ้นได้ ส่วนใหญ่จะใช้ในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หูด ส้นเท้าแตก แต่จะต้องควบคุมการใช้ความเข้มข้นต่ำ ไม่เกิน 2% สำหรับการใช้กับผิว เพราะ BHA อาจทำให้เกิดการระคายเคือง แสบ คัน ลอกเป็นขุย ได้ง่าย และห้ามใช้กับบริเวณรอบดวงตา ริมฝีปาก หรือบริเวณที่ผิวบอบบาง เช่น ในจมูก จุดซ่อนเร้น เป็นต้น

BHA ช่วยเรื่องอะไร

BHA มีฤทธิ์เป็นกรด ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก ละลายได้ดีในน้ำมัน ทำให้สามารถแทรกซึมไปขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว และชะล้างซีบัม (Sebum) ที่อุดตันตามรูขุมขนต่างๆ ให้หลุดออกไป จึงไร้สิ่งสกปรกตกค้าง ทำให้รูขุมขนสะอาด ยิ่งไปกว่านั้น ยังช่วยฆ่าเชื้อที่เป็นสาเหตุของสิว กำจัดสิวอุดตัน ลดการอักเสบของสิวได้ดี BHA จึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งกับผู้ที่มีปัญหาสิว หรือมีสภาพผิวมัน

เลือกใช้ BHA อย่างไรดีกับสภาพผิวหน้า

ผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาผิวหน้าที่มีส่วนผสม BHA มีหลายรูปแบบ ทั้งชนิดเจล ชนิดน้ำ ครีม โลชั่น การเลือกใช้ให้ตรงกับสภาพผิว และปัญหาของผิวหน้า หรือการชอบในเนื้อสัมผัส

  • ชนิดน้ำ (Liquid) ซึบซาบได้เร็ว เหมาะกับทุกสภาพผิว
  • ชนิดเจล เนื้อสัมผัสบางเบา เหมาะกับผิวธรรมดา ผิวผสม และผิวมัน
  • โลชั่น มีความเข้มข้นสูง เหมาะกับผิวแห้ง
  • ผิวบอบบาง และแพ้ง่าย ควรเลือกใช้ ชนิดที่มีความเข้มข้น 0.5 – 1%

AHA BHA กรดผลไม้ ต่างกันอย่างไร

AHA และ BHA ต่างก็เป็นกรดผลไม้ มีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก และป้องกันการเกิดสิวเช่นเดียวกัน แต่ 2 ชนิดนี้จะต่างกันตรงที่ลักษณะการใช้ โดย BHA สามารถละลายในน้ำมันได้ จึงสามารถแทรกซึมเข้าไปทำความสะอาดรูขุมขนที่มีน้ำมันบนใบหน้าได้มากกว่า อีกทั้งยังช่วยลดความมันได้ดี ขณะที่ AHA ทำงานได้ดีบนผิวหน้าชั้นบนเท่านั้น เพราะไม่สามารถละลายในน้ำมันได้ ยิ่งไปกว่านั้น AHA ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว และมีผลทำให้ผิวบางลง จนไม่สามารถทนต่อแสงแดด และผิวถูกทำร้ายจากแสงแดดได้ง่ายอีกด้วย

ความแตกต่างระหว่าง AHA และ BHA

AHA : สกัดจากธรรมชาติ ช่วยปรับสีผิว ละลายได้ในน้ำ แต่ไม่ละลายในน้ำมัน ผ่านลงใต้ผิวหนังไม่ได้หรือได้น้อยมาก เร่งการผลัดเซลล์ผิว ความเข้มข้นที่ควรใช้ในปริมาณ 5-10% เหมาะกับผิวธรรมดา-ผิวแห้ง

BHA : สารสังเคราะห์ ละลายในน้ำมัน ซึมผ่านใต้ผิวหนังได้ในไขมัน แต่ไม่ละลายในน้ำ ปริมาณความเข้มข้นที่ควรใช้ 0.1-2% ช่วยทำความสะอาดผิว รักษาสิว เหมาะกับผิวมันและผิวที่มีปัญหาสิว

รู้ไว้ก่อนเชื่อคำโฆษณา

การจะใช้กรดผลไม้รักษาริ้วรอยต่างๆ บนผิวและใบหน้า ต้องเป็นริ้วรอยตื้น หรือเป็นริ้วรอยที่ไม่ลึกนัก หากริ้วรอยตื้นๆ จะได้ผลดีขึ้นหลังจากใช้ AHA ภายใน 6 สัปดาห์ แต่ถ้าเป็นริ้วรอยที่มีความลึกปานกลาง จะเห็นผลหลังจากใช้ไปประมาณ 3 สัปดาห์ ส่วนริ้วรอยลึกมากอาจเห็นผลได้ช้ามาก หรืออาจไม่เห็นผลเลย

รู้สักนิด ก่อนจะใช้ AHA หรือ BHA

  • ศึกษาข้อมูล และเลือกที่มีปริมาณความเข้มข้น AHA และ BHA ไม่สูงจนเกินไป
  • ใช้ครีมกันแดดร่วมด้วยเป็นประจำ
  • ต้องใช้เอเอชเอต่อเนื่อง หากหยุดใช้ ปัญหาสภาพผิวจะกลับมาเหมือนเดิม
  • หากใช้ผลิตภัณฑ์ AHA แล้วเกิดการระคายเคือง บวมแดง หยุดใช้ทันที และพบแพทย์ผิวหนัง
  • ผู้ที่ไม่มีปัญหาสภาพผิว หรือมีผิวพรรณปกติและดีอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ AHA

จะเห็นได้ว่า AHA และ BHA ต่างก็มีข้อดี ช่วยการปรับและรักษาปัญหาผิวหน้า แต่ก็มีผลข้างเคียงที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อผิวหนังได้เช่นกัน ทั้งการระคายเคือง ผิวบางลงและไวต่อแสงแดด ผิวอักเสบและแพ้ง่ายขึ้น รวมไปถึงอาจทำให้ผิวติดเชื้อได้ง่ายขึ้นด้วย จึงควรเลือกใช้ให้ถูก และระมัดระวังในการใช้งาน แต่ถ้าสภาพผิวไม่มีปัญหาใดๆจนต้องพึ่งสารเหล่านี้ การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ มีคุณค่าสารอาหารครบถ้วน พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้พอที่ร่างกายต้องการ เลี่ยงการใช้สารเคมีให้มากที่สุด ก็จะช่วยให้มีผิวสวยใสเป็นธรรมชาติ ไร้ผลข้างเคียงใดๆให้ปวดใจ