เลือกคาร์ซีทอย่างไรให้ปลอดภัยกับลูกรัก

T

อีกไม่นานก็จะมีการบังคับใช้กฏหมายมาตรา 123 อย่างเป็นทางการแล้ว ในวันที่ 5 กันยายน 2565 ที่จะถึงนี้ โดยเป็นกฏหมายบังคับใช้ “คาร์ซีท” สำหรับรถที่มีเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี หรือผู้โดยสารที่มีความสูงไม่เกิน135 ซม.โดยจะต้องนั่งคาร์ซีท (Car Seat) หรือ บูสเตอร์ซีท (Booster Seat) หากไม่ปฏิบัติตาม มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท นี่ก็ใกล้ถึงวันบังคับใช้เข้ามาทุกที เชื่อว่าผู้ปกครองหลายท่านเริ่มที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับ Car Seat เพื่อนำมาใช้ประกอบในการตัดสินใจเลือกซื้อคาร์ซีทแบบไหนดี คาร์ซีทที่มีความปลอดภัยกับลูกน้อย และคาร์ซีทราคาคุ้มค่า เรามีข้อมูลคาร์ซีทมาฝากผู้ปกครองทุกท่านในบทความนี้แล้ว

คาร์ซีทคืออะไร

Car seat หรือ คาร์ซีท คือ อุปกรณ์เสริมที่เพิ่มความปลอดภัยสำหรับเด็กนั่งโดยสารบนรถ ลดความเสี่ยงและการสูญเสีย เพราะช่วยป้องกันเด็กไม่ให้กระเด็นหลุดออกมานอกตัวรถเมื่อเกิดอุบัติเหตุ บ่อยครั้งที่เรามักได้ยินข่าวมีเด็กเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เนื่องจากกระเด็นออกมานอกตัวรถ นับว่าเป็นเรื่องที่สะเทือนใจมากๆ หลายประเทศจึงให้ความสำคัญ และมีบทลงโทษทางกฏหมายอย่างจริงจัง หากไม่มีการใช้คาร์ซีท ในรถที่มีเด็กโดยสารอยู่ด้วย และนับว่าเป็นข่าวดี เมื่อจะมีผลบังคับใช้ในประเทศไทย แม้ว่าอาจมีเสียงโอดครวญจากผู้ปกครองบ้าง เพราะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น สำหรับการซื้อคาร์ซีท แต่เชื่อว่ายังไงความปลอดภัยของบุตรหลานย่อมต้องสำคัญกว่าแน่นอน เพราะอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยไม่เคยแจ้งเตือนใครล่วงหน้า!

ประโยชน์ของคาร์ซีท

ยังมีหลายคนที่คิดว่าคาร์ซีทไม่จำเป็น เพราะเชื่อมั่นว่าตนสามารถดูแลได้ หรือให้ลูกให้หลานนั่งรถด้วยกันมาตั้งนาน เด็กมีความเคยชินกันแล้ว และไม่เคยเกิดอุบัติเหตุสักครั้ง แต่..ตามที่เราได้กล่าวกันไปแล้วว่า “อุบัติเหตุ” ไม่สามารถควบคุมได้ และสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้ว่าไม่เคยเกิดขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย ดังนั้น การป้องกันไว้ก่อน ย่อมเป็นการลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และช่วยให้คุณไม่ต้องสูญเสียบุตรหลานที่รักจากอุบัติเหตุ หรือจากความประมาทของคุณเอง

ไม่เพียงแค่อุบัติเหตุจากบุคคลอื่น แต่คาร์ซีทจะช่วยให้เด็กได้อยู่กับที่ ไม่เคลื่อนไหว ข้ามไป-มา ทำให้คุณมีสมาธิในการขับรถ และเด็กก็ไม่สามารถมารบกวนขณะคุณขับรถ จนอาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้เช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณขับรถและต้องดูแลเด็กเพียงลำพัง โดยไม่มีผู้ช่วยคนอื่นมาด้วย หรือต่อให้มีคนอื่นมาด้วย แล้วให้เด็กนั่งบนตัก แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือเพียงแค่รถเบรคกระทันหัน แม้ว่าเด็กไม่ได้กระเด็นออกนอกตัวรถ แต่ก็มีไม่น้อยที่หัวไปโดนคอนโซลบ้าง ตกไปกลิ้งในรถบ้าง ยิ่งถ้าเป็นเด็กเล็กด้วย คุณพ่อคุณแม่ก็ใจเสียจนแทบจะร้องไห้แล้ว

Car seat มีกี่แบบ

คาร์ซีท สามารถแบ่งออกเป็นแบบต่างๆ ตามลักษณะการติดตั้ง ดังนี้

1.Rearward facing baby seat คือ แบบนั่งหันหน้าไปหลังรถ

Car seat ที่มีการติดตั้งแบบหันหลังไปด้านหน้าคนขับ และหันหน้าเด็กไปหลังรถ เป็นคาร์ซีทเด็กแรกเกิดจนถึงประมาณ 15 เดือน เนื่องจากกระดูกคอและหลังของเด็กทารกยังไม่แข็งแรงในการรองรับแรงกระแทก หรือแรงกระชาก ดังนั้นการที่หันหน้าเด็กไปทางด้านหลังรถ จะช่วยลดแรงกระแทกเมื่อเกิดการเบรกรถกระทันหัน หรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุได้เป็นอย่างดี

2.Combination seat คือ คาร์ซีทแบบผสม

คาร์ซีทที่ปรับใช้ได้ทั้งสองแบบ โดยเด็กสามารถนั่งหันหน้าไปด้านหลังรถ หรือด้านหน้ารถก็ได้ เหมาะสำหรับเด็กตั้งแต่แรกเกิด –  6 ปี เป็นคาร์ซีทที่ค่อนข้างคุ้มค่ากับรูปแบบการใช้งาน เพราะสามารถใช้ตอนที่เด็กยังมีกระดูกคอไม่แข็งแรง โดยใช้หันหลังเด็กออกหน้ารถเพื่อลดแรงกระชาก และเมื่อเริ่มโตขึ้น ก็ใช้แบบหันหน้าออกหน้ารถได้ด้วย ทำให้เด็กสามารถมองเห็นอะไรได้มากขึ้น สร้างความเพลิดเพลิน และลดความเบื่อหน่ายที่ต้องนั่งอยู่กับที่นานๆ เพราะเมื่อเด็กเริ่มโตขึ้น ย่อมมีความอยากรู้อยากเห็น และถ้าหากต้องนั่งหันหน้าเข้าเบาะเป็นเวลานานๆ อาจรู้สึกเบื่อและงอแงขึ้นได้

3.Forward facing child seat คือ คาร์ซีทแบบนั่งหันหน้าไปหน้ารถ

เหมาะกับเด็กที่โตขึ้นมาอีกหน่อย ตั้งแต่อายุ 9 เดือน – 11 ปี เป็นคาร์ซีทที่ใช้ได้ทั้งเด็กเล็กและเด็กโต แม้ว่า Car seat แบบนี้เป็นที่นิยม แต่การเลือกใช้ จะต้องดูเรื่องของขนาด หรือ Size ของเด็กด้วย ไม่ควรใช้ตัวเดียวไปตลอด นอกจากความปลอดภัยของเด็กแล้ว แต่ควรให้เด็กได้นั่งอย่างสบายๆ ตลอดระยะการเดินทางด้วย

4.High backed Booster Seat หรือ บูสเตอร์ซีท เป็นแบบมีพนักพิงหลัง

บูสเตอร์ซีท คือ เบาะนั่งเสริมคล้ายกับคาร์ซีท แต่ไม่มีเข็มขัดนิรภัยในตัวแบบ 5 จุด อย่างคาร์ซีท แต่เด็กยังไม่สามารถใช้เข็มขัดรถยนต์ได้พอดี จึงต้อง Boost ระดับก้นเด็ก เพื่อให้สูงพอที่จะใช้เข็มขัดรถได้พอดี เหมาะกับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 4 ปี – 12 ปี ซึ่งเป็นเด็กวัยเริ่มโตแล้ว และการมีเบาะหลัง ยังช่วยให้เด็กรู้สึกนั่งสบายมากขึ้น และเตรียมความพร้อมให้เด็ก สำหรับการนั่งเบาะรถปกติและใช้เข็มชัดนิรภัยอีกด้วย

วิธีเลือกซื้อคาร์ซีท ให้ปลอดภัยสำหรับลูกน้อย

1.มีป้ายรับรองมาตรฐาน

การเลือกซื้อคาร์ซีทเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย อันดับแรกที่ต้องคำนึง คือ มีป้ายรับรองมาตรฐานความปลอดภัย โดยจะต้องเป็นป้ายมาตรฐานผ่านการทดสอบ ได้แก่ มาตรฐานของสหภาพยุโรป ECE R44/04  และ UNr 129 โดย ECE R44 คือมาตรฐานทดสอบการกระแทกด้านหน้า – ด้านหลังของตัวคาร์ซีท ในขณะที่ UNr 129 คือมาตรฐานทดสอบการกระแทกจากด้านข้าง หรืออาจเลือกที่มีมาตรฐานจากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แก่ FMVSS 213

2. ระบบเข็มขัดรัด 5 จุด (5-points harness)

5 points harness คือ สายรัดนิรภัยสำหรับเด็กแบบ 5 จุด เป็นระบบเข็มขัดรัด ช่วยยึดส่วนของร่างกายที่มีความแข็งแรง โดย รัดหัวไหล่แต่ละข้าง 2 เส้น รัดเอว 2 เส้น และรัดระหว่างขา 1 เส้น  โดยบริเวณที่มีความบอบบางในร่างกายจะได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี โดยเฉพาะบริเวณหน้าอก ท้อง ซึ่งการใช้คาร์ซีทระบบเข็มขัด 5 จุด ย่อมมีควมปลอดภัยมากกว่าเข็มขัดนิรภัย 3 จุด จึงเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับลูกน้อยได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับเด็กช่วงแรกเกิด – 4 ปี

3.ความใหม่ – เก่าของคาร์ซีท

ถึงแม้ว่าคาร์ซีทบางประเภทจะมีราคาสูง แต่ถ้าหากจะซื้อคาร์ซีทมือสอง คุณจะต้องตรวจเช็คสภาพ ความชำรุดต่างๆให้ถี่ถ้วน เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า คาร์ซีทมือสองผ่านอะไรมาบ้าง ประสิทธิภาพของมันยังคงใช้ได้ดีหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไร ของมือสองก็ย่อมมีประสิทธิภาพไม่เต็มร้อยเหมือนของใหม่ที่เพิ่งออกจากโรงงาน ดังนั้นการยอมเพิ่มเงินอีกนิด สำหรับการซื้อคาร์ซีทใหม่ เพื่อแลกกับความปลอดภัยของลูกน้อย ย่อมจะดีและคุ้มค่ากว่าแค่การคำนึงเพียงราคาเงิน

4.สะดวกต่อการติดตั้ง และเหมาะสมกับรถที่ใช้งาน

เลือกคาร์ซีทที่สามารถติดตั้งได้ง่าย และพอดีกับรถที่ใช้ เพราะหากติดตั้งยาก หรือคาร์ซีทมีขนาดที่แตกต่างในเรื่องของขนาด ติดตั้งแล้วไม่กระชับ หลุดเลื่อนได้ง่าย ก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ พลัดตกจากที่นั่ง และไม่สามารถการันตีว่า จะมีความปลอดภัยต่อลูกน้อยเช่นกัน

การติดตั้งคาร์ซีทให้เหมาะสมกับเด็ก

1.สำหรับเด็กแรกเกิด – 15 เดือน หรือไม่ถึง 1 ปี

ติดตั้งคาร์ซีท Rearward Facing Seats แบบหันหน้าเข้าเบาะเสมอ ห้ามติดตั้งคาร์ซีทแบบหันเข้าหาเบาะตรงที่นั่งข้างคนขับ ที่มีถุงลมนิรภัยแบบปิดใช้งานไม่ได้

2.สำหรับเด็กเล็ก อายุ 2-4 ปี

ติดตั้งคาร์ซีทตรงที่นั่งผู้โดยสารเบาะหลัง โดยให้เด็กหันหน้าไปทางด้านหน้ารถตามปกติ กรณีจำเป็นที่ต้องติดคาร์ซีทสำหรับเด็กไว้ที่เบาะหน้าข้างคนขับ ควรปรับเบาะรถยนต์ให้ห่างจากถุงลมนิรภัยให้มากที่สุด

3.สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป หรือมีน้ำหนักมากกว่า 13 กิโลกรัม

ติดตั้งคาร์ซีทแบบหันหน้าไปทางด้านหน้า (Forward Facing Seats) โดยใช้สายรัดตัวเด็กที่ติดตั้งมากับคาร์ซีท และสามารถใช้ได้จนกว่าความสูงและน้ำหนักของเด็กจะเกินกว่าที่คาร์ซีทระบุการรองรับไว้

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลที่เรานำมาฝากนี้ จะเป็นประโยชน์ให้กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ หรือผู้ปกครองที่ยังไม่มีการตัดติ้งคาร์ซีท ได้นำไปตัดสินใจเลือกซื้อ Car seat ที่เหมาะสมและคุ้มค่าในการใช้งาน แน่นอนว่า… การที่ต้องซื้อคาร์ซีท ย่อมหมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่เพื่อแลกกับความปลอดภัยของลูกน้อย หลานรัก เชื่อว่าอย่างไรก็คุ้ม ดีกว่าเสียใจทีหลัง นั่งบ่นพร่ำขอยอมแลกเงินทุกบาทเพื่อยื้อชีวิตบุตรหลานในวันที่สายไป …